ทุกชาติภพ กระดูกงาม ปัจจุบัน 123: เคล็ดลับการดูแลกระดูกให้แข็งแรงทุกช่วงวัย
ในปัจจุบัน ปัญหาเรื่องกระดูกพรุนเป็นปัญหาที่สำคัญที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของคนไทย เนื่องจากเป็นภาวะที่ทำให้กระดูกมีความหนาแน่นลดลง ซึ่งส่งผลให้กระดูกเปราะบางและอาจเกิดการหักได้ง่าย โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะนี้ จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า คนไทยอายุ 50 ปีขึ้นไปมีภาวะกระดูกพรุนสูงถึง 30% และผู้สูงอายุที่มีอายุ 80 ปีขึ้นไปมีภาวะกระดูกพรุนสูงถึง 70%
สาเหตุของภาวะกระดูกพรุน
ภาวะกระดูกพรุนเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น
-
ปัจจัยทางพันธุกรรม: มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะกระดูกพรุนหากมีคนในครอบครัวเป็นภาวะนี้
-
เพศ: ผู้หญิงมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะกระดูกพรุนมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลงหลังวัยหมดประจำเดือน
-
อายุ: เมื่ออายุมากขึ้น กระบวนการสร้างกระดูกใหม่จะช้าลง ทำให้ความหนาแน่นของกระดูกลดลง
-
การขาดแคลเซียมและวิตามินดี: แคลเซียมและวิตามินดีเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างและรักษาความแข็งแรงของกระดูก
-
ไลฟ์สไตล์: การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ และไม่ออกกำลังกายเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุน
-
โรคบางชนิด: เช่น โรคไต โรคเบาหวาน และโรคไทรอยด์อาจทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุนได้
-
ยาบางชนิด: เช่น ยาสเตียรอยด์และยาต้านอาการชักอาจทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุนได้
อาการของภาวะกระดูกพรุน
ในระยะเริ่มแรก ภาวะกระดูกพรุนมักไม่มีอาการ แต่เมื่อภาวะนี้รุนแรงขึ้น อาจมีอาการต่างๆ ดังนี้
-
กระดูกหักง่าย: แม้จะไม่เกิดการกระแทกที่รุนแรง ก็อาจเกิดการหักของกระดูกได้
-
ปวดหลัง: เกิดจากการแตกหักของกระดูกสันหลัง
-
ส่วนสูงลดลง: เกิดจากการแตกหักของกระดูกสันหลังที่ทำให้กระดูกสันหลังยุบตัว
-
หลังค่อม: เกิดจากการแตกหักของกระดูกสันหลังที่ทำให้กระดูกสันหลังค่อม
-
ฟันหลุดง่าย: เกิดจากการที่กระดูกขากรรไกรมีความหนาแน่นลดลง
การวินิจฉัยภาวะกระดูกพรุน
แพทย์จะวินิจฉัยภาวะกระดูกพรุนโดยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และทำการตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก ซึ่งมีวิธีการตรวจดังนี้
-
เครื่องวัดความหนาแน่นของกระดูก (DEXA): เป็นวิธีการตรวจที่แม่นยำที่สุดในการวัดความหนาแน่นของกระดูก
-
เครื่องวัดความหนาแน่นของกระดูกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (QUS): เป็นวิธีการตรวจที่ไม่ใช้รังสีเอกซ์ แต่มีความแม่นยำน้อยกว่าเครื่องวัดความหนาแน่นของกระดูก
การรักษาภาวะกระดูกพรุน
การรักษาภาวะกระดูกพรุนมีเป้าหมายเพื่อป้องกันการเกิดกระดูกหัก โดยมีวิธีการรักษาดังนี้
-
ยา: แพทย์อาจสั่งยาเพื่อเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก เช่น ยาไบสฟอสโฟเนต ยาเดโนซูแมบ และยาเทริพาราไทด์
-
การเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์: เช่น การรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดี การออกกำลังกาย และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
-
การผ่าตัด: ในบางกรณีที่กระดูกหักจากภาวะกระดูกพรุน แพทย์อาจใช้วิธีการผ่าตัดเพื่อซ่อมแซมกระดูกที่หัก
การป้องกันภาวะกระดูกพรุน
การป้องกันภาวะกระดูกพรุนเป็นสิ่งที่สำคัญ โดยสามารถป้องกันได้ดังนี้
-
รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดี: แคลเซียมพบได้ในผลิตภัณฑ์จากนม ผักใบเขียว และปลาทูน่า ส่วนวิตามินดีพบได้ในปลาแซลมอน นม และไข่
-
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายที่ช่วยสร้างแรงกระแทก เช่น การวิ่ง การเดินเร็ว และการเล่นเทนนิส จะช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก
-
หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์: การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุน
-
ตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูกเป็นประจำ: ควรตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูกเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะกระดูกพรุน เช่น ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนและผู้สูงอายุ
ข้อดีและข้อเสียของการรักษาภาวะกระดูกพรุน
ข้อดี
-
ช่วยป้องกันการเกิดกระดูกหัก: ยาและการเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์สามารถช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกและลดความเสี่ยงของการเกิดกระดูกหัก
-
ลดอาการปวด: การรักษาภาวะกระดูกพรุนสามารถช่วยลดอาการปวดหลังและอาการปวดกระดูกอื่นๆ ที่เกิดจากการแตกหักของกระดูก
-
คงความเป็นอิสระ: การป้องกันการเกิดกระดูกหักช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างเป็นอิสระมากขึ้น
ข้อเสีย
-
ผลข้างเคียง: ยารักษาภาวะกระดูกพรุนอาจมีผลข้างเคียง เช่น ปวดท้อง คลื่นไส้ และอาการปวดกล้ามเนื้อ
-
ค่าใช้จ่าย: การรักษาภาวะกระดูกพรุนอาจมีค่าใช้จ่ายสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ยา
-
ปฏิสัมพันธ์ของยา: ยารักษาภาวะกระดูกพรุนอาจมีปฏิสัมพันธ์กับยาอื่นๆ ที่รับประทานอยู่
ความผิดพลาดที่พบบ่อยในการรักษาภาวะกระดูกพรุน
มีข้อผิดพลาดที่พบบ่อยหลายประการในการรักษาภาวะกระดูกพรุน ได้แก่
-
ไม่รับประทานแคลเซียมและวิตามินดี: แคลเซียมและวิตามินดีเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการรักษาความแข็งแรงของกระดูก
-
ไม่ออกกำลังกาย: การออกกำลังกายที่ช่วยสร้างแรงกระแทกเป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก
-
ไม่ติดตามการรักษา: การติดตามการรักษาเป็นประจำเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าการรักษาได้ผลและไม่มีผลข้างเคียงที่รุนแรง
-
ไม่ปรึกษาแพทย์: หากมีอาการที่บ่งชี้ว่าอาจมีภาวะกระดูกพรุน เช่น ปวดหลังหรือกระดูกหักง่าย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม
บทสรุป
ภาวะกระดูกพรุนเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญที่ส่งผลกระทบต่อคนไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้สูงอายุ การดูแลสุขภาพกระดูกให้แข็งแรงทุกช่วงวัยเป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อป้องกันการเกิดภาวะกระดูกพรุนและลดความเสี่ยงของการเกิดกระดูกหัก เมื่อมีอาการที่บ่งชี้ว่าอาจมีภาวะกระดูกพรุน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม
ตารางที่ 1: แหล่งอาหารที่มีแคลเซียมสูง
แหล่งอาหาร |
ปริมาณแคลเซียม (มิลลิกรัมต่อหน่วยบริโภค) |
นม (1 ถ้วย) |
300 |
โยเกิร์ต (1 ถ้วย) |
4 |